Saturday, October 29, 2016

การปีนผามีกี่แบบ



ประเภทการปีนผา หลักๆ อาจจะมี แค่แบบใช้เชือกกับไม่ใช้เชือก หรือ บางคนอาจจะแยกผาจริง ผาจำลองก่อน แต่รวมๆแล้ว ประเภทย่อยๆทั้งหลายก็จะมี ประมาณในบทความนี้


Bouldering คือการปีนโดยไม่ใช้เชือก ที่ความสูงไม่มากนัก ประมาณ 3-5 เมตร แต่หลังๆมานี่เริ่มมีการปีนที่สูงมากประมาณ 10 เมตร ก็จะเรียกว่า High Ball ซึ่งโดยปกติแล้วเวลาปีนในผาจำลองจะทำพื้น ที่รองไว้ด้วย ฟองน้ำ หรือวัสดุ ที่รองรับแรงกระแทกได้เวลาตกลงมา ก็จะไม่บาดเจ็บ หรือ อาจจะมี เบาะใหญ่ๆที่เรียกว่า crash pad เลื่อนไปมาได้ ส่วนการปีนผาจริงนั้น คนปีนก็จะแบก crash pad ไปด้วย เพื่อรองรับแรงกระแทก
ประโยชน์ที่ได้จากการปีนแบบ Bouldering ความแข็งแรง ความอดทน และเทคนิคการปีน ซึ่งจำเป็นในการปีนผาสูง ถ้าหากได้ Bouldering เป็นประจำและฝึกร่างกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยทำให้ทักษะการปีนหน้าผาพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว
แผ่นที่นั่งอยู่นั่นคือ Crash Pad
นี่ก็ เกือบๆ high ball  


Top roping ก็ คือการปีนแบบใช้เชือก โดยที่เชือกจะห้อย มาจาก ด้านบนสุดของ เส้นทางที่จะปีนอยู่แล้ว ปลายเชือกทั้ง 2 ด้านจะ อยู่ที่พื้น เวลาจะปีนผู้ปีน (climber) จะผูกเชือกด้านนึงเข้ากับตัวเอง และจะมีคนจับเชือกอีกฝั่ง(belayer) อยู่อีกด้าน การปีนแบบนี้เหมาะสำหรับมือใหม่ เพราะมีความปลอดภัยสูง สามารถเพิ่มความมั่นใจในการขึ้นที่สูง และพัฒนาฝีมือและร่างกายได้



Lead Climbing คล้ายกับ top rope ต่างกันที่ เชือกจะไม่ได้ห้อยมาจากด้านบน เชือกจะกองอยู่กับพื้น คนปีน จะต้องปีนขึ้นไปพร้อมเชือก แล้วค่อยๆเอาเชือกไปคลิปไว้กับอุปกรณ์บนหน้าผาที่เตรียมไว้แล้วตามทางที่ปีนขึ้นไป การปีนแบบนี้ จะมีความยากกว่าการปีน แบบ Top Rope เพราะจะใช้แรงมากกว่าในการปีน รวมถึงใช้พลังใจมากกว่าด้วย ซึ่งสร้างได้จากการฝึกฝนบ่อยๆทั้ง จากการ Top Rope และ Bouldering การปีน Lead Climbing เวลาตกก็จะตกลงมามากกว่า Top Rope
ในการ Lead Climbing การปีนผาจริงกับผาจำลองจะต่างกันนิดนึง ตรงที่ ผาจำลองในยิมจะมี quickdraw ติดไว้แล้วเราแค่ปีนๆไปแล้วก็ เอาเชือกไปคลิปเลย แต่ผาจริงส่วนใหญ่จะมีแค่ตัว bolt ติดไว้ เราต้องปีนไป เอา quickdraw ไปคลิปก่อน แล้วค่อยตามด้วยเชือก

หวานกำลังคลิปเชือกเข้า Quickdraw


Free Climbing (trad) จะคล้ายๆกับ Lead Climbing เพียงแต่ บนหน้าผาจะไม่มีอุปกรณ์เพื่อช่วยป้องกันการตกถึงพื้นเอาไว้ ผู้ปีนต้องทำการติดตั้งลงไปเองตามซอกหิน จะใช้ cam, nut หรือใช้เชือกมัดๆกับ กิ่งไม้ รากไม้ที่แข็งแรงก็ได้ การปีนลักษณะนี้ต้อง ใช้ทักษะสูงทั้งในการใช้อุปกรณ์ ความพร้อมของร่างกาย เทคนิคการปีน และ ประสบการณ์ 


Free Solo คือการปีนหน้าผาแบบไม่ใช้เชือกคล้ายกับการปีน Bouldering แต่ต่างกันตรงที่ Solo เป็นการปีนไปบนผาสูง จนถึงยอดเขา การปีนแบบจึงนี้ไม่นิยมมาก เพราะจะมีอันตรายมาก ผู้ที่ปีนแบบนี้จะต้องมีความชำนาญอย่างมาก ความมั่นใจและจิตใจที่เกิน 100
การปีนแบบนี้ไม่มีที่ไหนแนะนำ เพราะมันเสี่ยงเต็มๆ พลาดทีก็ ลาก่อน แต่คนที่ปีนแบบก็ยังมี แต่ก็เป็นส่วนน้อย ที่ตายไปแล้วก็มี บางคนเลิกปีนแบบนี้ก็มีเพราะระลึกได้แล้วว่า ควรถึงจุดที่พอ
รูปจาก national geographic


Deep Water Solo การปีนแบบนี้จะเรียกว่าเป็น Bouldering แบบ Super High Ball ก็ได้  หรือ เป็น Free Solo ก็ได้ การปีนแบบนี้คือการปีนไม่ใช้เชือก แต่ปีนไปบนผาที่สูงมาก ส่วนที่น่าสนใจของการปีนคือผาที่ปีนเป็นผาที่ติดน้ำลึก จะเป็นทะเลหรือ lake ก็ได้ เพราะฉนั้น เลยไม่ต้องการคน Belay เวลาตกจะตกลงในน้ำแทน Deep Water Solo ที่ดังๆของไทยคือที่ ไร่เลย์ กระบี่



Ice Climbing อันนี้ก็แปลตรงตัวเลยคือปีนน้ำแข็ง เป็นการปีนที่จะใช้ทักษะ ต่างไปจากปีนผาธรรมดา ต้องมีอุปกรณ์ที่สำคัญที่เพิ่มคือ
Crampons มันคือ ที่ครอบรองเท้า จะเป็นเหล็ก หรือวัสดุอื่นก็ได้ ที่ แข็งและแหลม เอาไว้เตะ เพื่อเกาะน้ำแข็ง
รูปจาก website http://www.backcountry.com/

Ice Tool ก็คล้ายๆ เคียวเกี่ยวหญ้าบ้านเราล่ะ เอาไปเจาะน้ำแข็งเกาะๆขึ้นไป
รูปจาก website http://www.backcountry.com/

ส่วนพวกปีนที่แบบไป Evereset นี่ ไม่นับเป็น Ice Climbing อันนั้นเป็น Trekking


Multi Pitch การปีนแบบนี้จะเป็นขั้นกว่าของ Lead และ Trad กว่ายังไงคือ ผาที่ปีนนี่จะสูงมากๆ โค-ตะ-ระ สูง โดยปกติเชือก 1 เส้น สมมติยาว 100 เมตร เพราะฉนั้นเวลาปีน 1 ครั้ง ขึ้นไป อย่างมาก เพื่อความปลอดภัย จะปีนขึ้นไปไม่ถึง 100 เมตรเต็มๆหรอก เพราะฉนั้น ถ้าอยากปีนผา สูง 1,000 เมตรทำยังไง
จากคณิตศาสตร์ ประถมแล้ว ก็ใช้เชือก 10 เส้น สิ......
ไม่ใช่ละ จริงๆคือ การปีนแบบนี้ จะมีจุดพักเป็นระยะขึ้นไป จุดพักนี่เพื่อให้คนที่ปีนขึ้นไปคนแรก จัดระบบระเบียบ เพื่อ Belay คนที่อยู่ข้างล่าง ให้ปีนขึ้นมายังจุดเดียวกัน ถึงตอนนี้นับเป็น 1 pitch
แล้วก็ทำซ้ำไปเรื่อยๆ ใช้เชือกเดิม ปีนนำไปคนนึง อีกคนปีนตาม จะมี กี่ Pitch ก็ ว่ากันไป บางทีวันเดียวปีนไม่เสร็จ ก็นอนบนหน้าผากันนั่นล่ะ ขี้ เยี่ยว กิน บนนั้น (ถ้าพิมพ์สลับ นอนกินขี้เยี่ยว อาจจะเข้าใจผิดได้)  ในรูทอาจจะ เจาะฝัง Bolt ไว้ให้แล้ว หรือ ที่อเมริกาส่วนใหญ่ไม่เจาะให้ ก็ Trad กันไป มีเพื่อนจากฝรั่งเศษมันบอกว่าแถวยุโรป Route สูงมากๆก็มีคนเจาะ Bolt ไว้ให้แล้ว

ยกตัวอย่าง Dawn Wall เป็นผาที่ตอนนี้ได้ชื่อว่าเป็น Big Wall Free Climb ที่ยากที่สุดในโลก แต่เมื่อต้นปี 59 ที่ผ่านมาก็มีมนุษย์คู่แรกปีนสำเร็จไปแล้ว(หลังจากพยายามมา 7 ปี)โดยรอบนี้ใช้เวลา 19 วัน มีทั้งหมด 32 Pitches สูง 762 เมตร


รูปจาก http://www.climbing.com/





Thursday, October 27, 2016

Climbing 101

เกริ่นนำ มารู้จัก การปีนผาคร่าวๆ แต่ก็ยังไม่เหมาะกับคนที่อ่านหนังสือได้ ทีละไม่เกิน 7 บรรทัด

การปีนหน้าผาถือว่าเป็นกีฬาชนิดหนึ่ง หรือบางคนอยากใช้คำว่ากิจกรรมยามว่างก็ได้  การปีนนั้นจะใช้ทั้งร่างกายและจิตใจ โดยร่างกายต้องมีความแข็งแรง มีความสมดุลยืดหยุ่น และยังจิตใจที่แข็งมากในบางจังหวะ มีการพูดเล่นๆว่าคนปีนดีๆเนี่ยเนี่ยต้อง strong 25% balance 25% and madnees 50%
คือต้องมีหลายๆอย่างสมดุลกัน พวกหุ่นหนากล้ามโตอาจจะไม่ได้ปีนดีกว่า บางๆ กล้ามน้อย คนสูงใช่ว่าจะได้เปรียนกว่าคนเตี้ย คนกล้าบ้าบิ่น ก็ไม่ได้ยืนยันว่าจะไปได้ดีกว่าคนป๊อดใจแมว
เพราะฉะนั้นข้อดีของการปีนผา แน่นอนว่า ได้ความแข็งแรง ข้อนิ้ว กล้ามหลัง หัวไหล่ 6 packs มาแน่ๆ (แต่ก็ใช้เวลาเหมือนกัน) ได้ความยืดหยุ่น ทรงตัว ยกขาแตะถึงหู ได้ใจ ลูกบ้าและถ้าไปปีนผาจริงบางที่จะได้เห็นวิวสวยงาม มีเพื่อนคนนึงบอกว่า "การปีนผามักจะเกี่ยวข้องกับธรรมชาติดังนั้นผู้ปีนผาส่วนใหญ่แล้วมักจะสนใจชื่นชมในธรรมชาติ คำนึงถึงการอนุรักษ์ และยังให้ความสนใจและเคารพต่อขนบธรรมเนียในแต่ละพื้นที่ด้วย เพราะในแต่ละพื้นที่ที่ไปปีนก็จะมีธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และขนบธรรมเนียมประเภณีที่ต่างกัน" อันนี้ก็จริง แต่บางคนก็กลัวการไปทำอะไร วุ่นวายจนเจ้าถิ่น จะไม่ให้ปีนก็มีเหมือนกัน 
ประวัติการปีนผานั้นเริ่มจาก.....  อย่ารู้เลย ยาว เอาแค่ ปัจจุบันนี้คนไทยหลายคนยังมองว่าการปีนหน้าผาเป็นอะไรที่อันตราย กลับกันในทางยุโรป และทางฝั่งอเมริกา ที่ปีนผาได้รับความนิยมมาก มีหน้าผาจำลองมากมาย และหน้าผาจริงอีกนับไม่ถ้วน ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติ บางที่ก็อยู่ในพื้นที่ส่วนบุคคล ก็มีการเก็บค่าเข้ากันไป หรือเป็นแค่กล่องรับบริจาคเพื่อนำไปดูแลซ่อมแซมตามความเหมาะสม  และยังเพิ่มความนิยมมากขึ้นมีการให้เด็กเริ่มมาปีนตั้งแต่เล็ก ยิมต่างๆมีการขยายเพิ่มพื้นที่ เปิดยิมใหม่ รวมทั้งมีการหาที่ปีนใหม่ๆ outdoor อยู่เรื่อยๆ ทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งไทยเองก็เป็นหนึ่งในที่ที่สามารถมีผาปีนหินที่ดีได้ ที่จะเพิ่มมีอีกหลายแห่ง ตอนนี้ก็มีที่ดีๆอยู่แล้วหลายที่เช่นกัน และล่าสุดปีนผาได้ถูกบรรจุเป็นการแข่งขันโอลิมปิคที่กำลังจะจัดขึ้นในปี 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น 





บทนำคร่าวๆเล็กน้อย แค่นี้ก่อน คราวหน้า จะมาบอกถึงขนิดการปีนผาว่ามีแบบไหนบ้าง